บทสัมภาษณ์พี่แอน-วิชาภาษาอังกฤษ
เขียนโดย พี่แอน - EDUGEN
01/07/2019, หมวด: Tutor-Talk

     สวัสดีค่ะน้อง ๆ วันนี้พี่ EDUGEN  จะพาน้อง ๆ ไปรู้จักกับพี่แอน ติวเตอร์ภาษาอังกฤษคนสวยของเรากัน พี่แอนเคยเรียนมาแล้วกี่ภาษา และมีมุมมองในการเรียนภาษาอังกฤษอย่างไรบ้าง น้อง ๆ จะได้รู้จักพี่แอนมากขึ้นในบทสัมภาษณ์นี้ค่ะ  พี่ EDUGEN เชื่อว่าพี่แอนน่าจะเป็นแรงบันดาลใจในการเรียนภาษาอังกฤษให้กับน้อง ๆ หลายคนเลยล่ะ

แนะนำตัวหน่อยค่า

     “สวัสดีค่ะ ชื่อ แอน ประภัสสร เจียมวงษา ปริญญาตรีจบอักษรศาสตร์จุฬา แล้วก็ปริญญาโทจบ Applied Linguistics หรือว่าภาษาศาสตร์ประยุกต์จาก The University of Edinburgh United Kingdom”

เพราะอะไรพี่แอนจึงเลือกเรียนด้านภาษา

     “ประมาณ ม.1 ได้มั้ง ไปเมืองนอกครั้งแรก ตอนนั้นไปญี่ปุ่นครั้งแรกเลย ตื่นเต้นมาก ไปกับที่บ้าน แล้วเราก็รู้สึกว่าเราได้ใช้วิชาที่เราเรียนมาในห้อง จากที่เราเรียนแค่ Good morning teacher, How are you? ทุก ๆ วัน ที่พูดไปเราไม่รู้มันแปลว่าอะไร พอไปถึงที่นู่น เราได้ใช้มันไปถามคนอื่น อย่างน้อยถามแค่ห้องน้ำอยู่ไหน Where is the toilet? หรือไปซื้อของถาม How much is it? อะไรอย่างนี้ เรารู้สึกว่าเราได้ใช้อะไรที่เราเรียนมา แล้วเรารู้สึกว่าภาษามันทำให้เราได้คุยกับคนชาติอื่น ได้คุยกับคนกว้างขึ้น แล้วมันก็ทำให้เราเอาตัวรอดได้ในช่วงเวลาที่ไปเที่ยวตอนนั้น มันวิเศษ มันมหัศจรรย์ เราก็เลยตั้งใจตั้งแต่ตอนนั้นว่า ยังไง ม.ปลาย ก็จะเรียนศิลป์ภาษาแล้วยังไงก็จะเข้าอักษรศาสตร์แน่นอนค่ะ”

นอกจากด้านภาษา พี่แอนสนใจวิชาอะไรอีกไหม

     “ตอน ม.1 เรายังไม่เห็นมั้งว่าวิชาอื่นมันประยุกต์เข้ากับการใช้ชีวิตแบบจริง ๆ ไม่ได้หมายความว่าทุกวิชาประยุกต์ไม่ได้นะ อย่างเลขเราก็เรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร เวลาไปซื้อของเราก็ใช้เครื่องคิดเลข คือเรายังไม่เห็นการใช้ ห.ร.ม.ค.ร.น. ในชีวิต แล้ววิทยาศาสตร์ เราเห็นว่าทุกอย่างในชีวิตเป็นวิทยาศาสตร์หมด แต่ว่าเรายังไม่สามารถนำเรื่องที่มันเป็นเนื้อหาในวิชาเรียนเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวันเราได้จริง ๆ ตอนนั้นเลยยังไม่ได้อินกับวิชาอื่นขนาดนั้น อินกับภาษาอังกฤษมากเพราะว่ามันกว้างมาก แล้วมันก็เปิดโลกตัวเองมาก แต่ว่าพอโตมาถึงตอนนี้ก็ได้รู้แล้วว่าจริง ๆ ทุกวิชามันอยู่ในชีวิตหมด”

พี่แอนคิดว่าการเลือกเรียนภาษาตอบโจทย์ชีวิตพี่แอนอย่างไร

     “มันเหมือน มันค่อย ๆ ปลดล็อคชีวิตเราไปในแต่ละขั้นมากกว่า แอนรู้สึกว่าภาษาเป็น way of communication เป็นวิธีการสื่อสารของคน การใช้ชีวิตของคนทุกวัยมันเกี่ยวข้องกับภาษาอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นมันไม่ใช่ว่าภาษาตอบโจทย์ชีวิต แต่ภาษามันเป็นตัวช่วยทำให้เดินต่อไปเรื่อย ๆ และก็ตอบโจทย์ในแต่ละช่วงของชีวิตได้มากขึ้น”

     “ตอนนี้ยังคงหาต่อไปว่าโจทย์ของชีวิตคืออะไร เราค่อย ๆ ตอบมันมาเรื่อย ๆ ซึ่งแต่ละโจทย์ที่เข้ามาในแต่ละช่วง แน่นอนว่าภาษาเป็นตัวช่วยแอนมาตลอดทั้งทางตรงและทางอ้อม ทางตรงก็คือแอนต้องไปทำข้อสอบวิชาภาษาจริง ๆ ทางอ้อมก็อย่างตอนที่เราไปเรียนปริญญาโท ซึ่งเป็นการไปเรียนต่างประเทศ วิชาที่เรียนจริง ๆ ไม่ใช่วิชาภาษาอังกฤษ แต่ภาษาอังกฤษเป็นตัวช่วยที่ทำให้เราเข้าใจเนื้อหาที่เรากำลังเรียนอยู่ได้มากขึ้น พอมาถึงตอนนี้ก็ยังคิดว่าภาษาเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แอนก้าวข้ามและสามารถปลดล็อคโจทย์ต่อ ๆ ไปในชีวิตได้”

นอกจากภาษาอังกฤษ มีภาษาอะไรที่พี่แอนสนใจอีกไหม

     “ชอบภาษาไทย ชอบภาษาไทยมาก แล้วตอน ม.ปลาย เรียนภาษาฝรั่งเศส ตอนปริญญาตรี ปีหนึ่งปีสองเรียนภาษาอิตาลี จริง ๆ ชอบทุกภาษาที่เรียนมานะ เราไม่ได้ชอบแค่ภาษาใดภาษาหนึ่ง แต่สิ่งที่เราชอบในภาษาคือ เราชอบไอเดีย เราชอบคอนเซ็ป เราชอบโครงสร้างของภาษา นั่นคือสิ่งที่เราชอบ เราชอบว่ามนุษย์ใช้ภาษาอย่างไร แล้วมันสะท้อนความเป็นมนุษย์ สะท้อนความเป็นสังคม เลยทำให้ไม่ว่าเราเรียนภาษาอะไร เราก็สนุกกับมันหมด เคยได้ยินไหมที่เขาบอกว่า เวลาคนเราพูดภาษาที่แตกต่างกันออกไป บุคลิกเราจะเปลี่ยนไปด้วย ซึ่งมันเป็นความจริงนะ ภาษามันส่งผลกับความคิดความรู้สึก และการแสดงออกของคนเรา เวลาเราพูดภาษาไทย เราก็เป็นอย่างหนึ่ง เวลาเราพูดภาษาอังกฤษเราก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง พอเราได้เรียนภาษาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ เราจะเห็นลักษณะธรรมชาติของภาษาแต่ละภาษาที่แตกต่างกันออกไป นั่นคือสิ่งที่เราชอบ”

เห็นพี่แอนเรียนภาษาตะวันตก พี่แอนเคยเรียนภาษาตะวันออกบ้างไหม

     “เคยเรียนภาษาพม่า ชอบเหมือนกัน แต่ว่าอย่างหนึ่งของการเรียนภาษา อันนี้สำคัญมาก อยากบอกทุกคนที่เรียนภาษาได้รับรู้ไว้ ไม่ว่าจะภาษาใดก็ตาม ถ้าเราเรียนและเราไม่ได้ใช้ มันไม่ได้หรอก อย่างเราเรียนภาษาฝรั่งเศส 3 ปีในโรงเรียน ซึ่งเป็นเวลาที่นานมากนะ แต่ว่าที่ ๆ เราสามารถใช้ภาษาฝรั่งเศสได้มันถูกจำกัดอยู่แค่ในห้องเรียนเท่านั้น พอออกจากห้องเรียนมาเราไม่สามารถใช้ได้เลย ตอนนี้สิ่งที่ยังคงเหลือคือแค่ grammar หลัก และคำศัพท์ แต่ถ้าจะให้พูดให้ฟังทำไม่ได้แล้ว เพราะมันไม่ได้ฝึกอยู่ตลอดเวลา ภาษาพม่าตอนนี้เกิดความรู้สึกเดียวกันว่า เราเรียน เราพูดได้ตามบทพูดในห้อง แต่พอออกจากห้องมาเราก็ไม่ได้ใช้มัน มันก็ทำให้เราหยุดไป”

นอกจากเรื่องเรียน เรื่องภาษา พี่แอนสนใจเรื่องอะไรเป็นพิเศษ

     “จริง ๆ เราชอบศิลปะ ชอบมาก ชอบแบบบ้า เราชอบศิลปะอิตาลีมาก และนั่นก็เป็นเหตุผลที่เราเรียนภาษาอิตาลีตอนที่อยู่ปีหนึ่งปีสองด้วย ความชอบนี้มาจากที่มีโอกาสได้ไปเที่ยว ไปเห็นรูปวาด Michelangelo เห็น Da Vinci ในพิพิธภัณฑ์ มันสวยมาก ลายเส้น แล้วก็แบบประติมากรรม ทำไมเขาแกะหินได้แบบอ่อนขนาดนี้ ก็เลยแบบชอบมาก ชอบดูพวกรายการสารคดี ดูอะไรที่แบบพาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ เป็นเรื่องที่ชอบมาก ๆ”

สำหรับพี่แอนการเรียนเป็นการค้นหาตัวเองไหม

     “ที่เราค้นหาตัวเองเจอทุกวันนี้ก็มาจากการเรียนหนังสือนะ เราเรียนแล้วเรารู้สึกสนุกกับวิชานี้มาก เราอยากเรียนคาบนี้จังเลย เรามีความรู้สึกว่าอยากทำการบ้านวิชานี้จังเลย เราว่าเด็กก็ต้องได้เรียนรู้อะไรอยู่แล้ว ผ่านวิชาต่าง ๆ ไทย คณิต วิทย์ อังกฤษ สังคม การงาน ศิลปะ พละ มันต้องมีบ้างแหละ หนึ่งในวิชาเหล่านี้ เรียนตรงนั้นตั้งแต่ 3 ขวบจนจบ ม.6 ซึ่งการที่เขาคิดระบบมาเพื่อให้เด็กเรียนเป็นเวลายาวนานถึง 15 ปี แน่นอนว่าเด็กจะต้องได้อะไรไปจากช่วงเวลานั้น”

พี่แอนคิดว่าเรียนภาษาจบมาทำอาชีพอะไรได้บ้าง

     “เป็นคำถามที่ตอบยากมากเลยนะ เพราะเราคิดว่าภาษามันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการใช้ชีวิตอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะทำงานอาชีพอะไร ถ้าเกิดคุณมีความสามารถพิเศษตรงนี้ ก็จะทำให้คุณเหนือกว่าคนอื่น ถ้าจบภาษาแล้วจะไปทำอาชีพอะไรดี คงจะตอบว่า ก็เป็นอาชีพใด ๆ ก็ตามที่ใช้ภาษาเป็นตัวชูโรงอะเนอะ ไม่ว่าจะเป็นพวกนักแปล นักเขียน นักพูด หรือใด ๆ ก็ตาม”

คำว่าติวเตอร์ของพี่แอนหมายถึงอะไร

     “ติวเตอร์เป็นเหมือนผู้ช่วย เป็นพี่เลี้ยง น้องมีความรู้จากโรงเรียนมาแล้วเท่านี้ แต่ความรู้ที่มีมันยังไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่าง มันยังไม่ค่อยถูกจัดระบบ คือหนูเรียนในโรงเรียนมา เทอมหนึ่งหนูเรียนมา 4 เดือน พอจบเดือนที่สี่หนูลืมไปแล้วว่าเทอมที่หนึ่งหนูเรียนอะไรมา หรือหนูเรียนในโรงเรียนมา 3 ปี พอจบปีที่สามลืมไปแล้วว่าปีที่หนึ่งหนูเรียนอะไรมา หนูไม่พร้อมจะไปทำข้อสอบ หนูจำไม่ได้ เราว่าหน้าที่ของติวเตอร์ในความคิดของเราเป็นคนที่เข้ามาช่วยบอกว่า เอ้ย มันเป็นแบบนี้นะ สิ่งที่เราเคยรู้มามันอยู่ตรงนี้ มันต้องถูกจัดระบบแบบนี้ แล้วก็ช่วยทำให้เขาพร้อม เพื่อที่จะไปสอบ ไปทำอะไรก็ตามต่อไป”

ทำไมพี่แอนถึงเลือกมาสอนพิเศษออนไลน์

     “เรารู้สึกว่าเด็กทุกคนใช้เวลาในอินเทอร์เน็ตเยอะ เพราะฉะนั้นมันก็เป็นการดี ถ้าเกิดเขาได้ใช้เวลาในอินเทอร์เน็ตนอกเหนือไปจากความบันเทิง ได้ใช้เวลามาเรียนด้วย แล้วถ้าเราได้สอนออนไลน์ ความรู้ที่เรามี หรือสิ่งที่เราอยากส่งต่อ มันสามารถส่งต่อได้ไกลและกว้างขึ้น แล้วทุกอย่างที่เราให้มันก็เต็มมาก เรารู้สึกว่ามันได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย เราก็เลยมาสอนพิเศษออนไลน์ค่ะ”

พี่แอนอยากเห็นเด็กที่ตัวเองสอนเติบโตไปในทิศทางไหน

     “ถ้าเอาเฉพาะในแง่ภาษาอังกฤษ เราไม่ได้คาดหวังว่า โห..พูดได้เก่งขนาดนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราอยากจะเห็นเลยก็คือเราอยากเห็นเขามีมุมมองกับภาษาอังกฤษแบบใหม่ เราไม่อยากให้เขารู้สึกว่า ภาษาอังกฤษมันเป็นเอเลี่ยน อยากให้มองว่ามันเป็นตัวช่วยให้เราได้เข้าใจอะไรในโลกนี้มากยิ่งขึ้น แล้วอีกอย่างเราแค่อยากให้เขากล้าใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้น หมายความว่า ทุกวันนี้เปิด Youtube ฟังแต่เพลงไทยก็อยากให้ลองฟังเพลงฝรั่งดู หรือดูแต่บล็อกเกอร์คนไทยก็อยากให้ลองดูบล็อกเกอร์ฝรั่งดู แค่นี้เลยคือสิ่งที่เราอยากจะเห็น”

     “ส่วนถ้ามองในแง่รวม เราไม่ได้คาดหวังว่าเด็กทุกคนจะเรียนเก่งได้ที่หนึ่งตลอดเวลา ไม่ว่าตอนจบเกรดจะออกมาเท่าไร เราอยากให้ทุกคนเก็บเกี่ยวความสวยงามของการเรียน หรือประโยชน์ของการเรียนระหว่างทางมากกว่า ถ้าเรามุ่งไปแค่ที่ผลลัพธ์ ใบเกรด มันก็จะได้ของเทอมนั้นแล้วจบไป แต่ถ้าน้องมุ่งจะเอาความรู้จริง ๆ ความรู้ตรงนั้นมันอยู่ได้ยืนยาวมากกว่า มันจะมีประโยชน์ในตอนเรียนมหาวิทยาลัย ยิ่งตอนไปทำงาน การเขียนใบสมัครงาน หรือการสัมภาษณ์งานที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษ หรือทำงานจริงบางที่ก็ใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน ถ้าเราโฟกัสกับการเรียน โฟกัสที่ประโยชน์ของมันมากกว่าการทำข้อสอบให้ได้แล้วจบไป ประโยชน์ตรงนั้นจะอยู่กับเราและติดตัวเราไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีกด้วย”

คอร์สเรียนวิชาภาษาอังกฤษของพี่แอนมีรูปแบบอย่างไร

     “คอร์สเรียนที่เราออกแบบ แบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ เนื้อหา สรุป และตะลุยโจทย์

          1. เนื้อหาเรามี 3 คอร์ส ได้แก่ Grammar 1, Grammar 2 แล้วก็ Reading ที่เลือกสอนแบบนี้ เพราะว่ามันเป็นทักษะที่สอนกันได้ ถ้าน้องเรียน 3 คอร์สนี้ มันจะช่วยปูพื้นฐานในการต่อยอดไปทำข้อสอบหรือนำภาษาอังกฤษไปใช้ในชีวิตประจำวันได้หมดเลย Grammar 1 Grammar 2 มันคือทุกเรื่องที่มีในภาษาอังกฤษ ทุกอย่างที่เรารู้ใน grammar ภาษาอังกฤษ เราใส่ให้หมดเลย เพราะฉะนั้นเรายืนยันได้เลยว่าน้องเรียนแล้ว น้องไม่ต้องไปเรียน grammar อีกแล้วในชีวิตนี้ ส่วน Reading คอร์สนี้เป็นคอร์สที่ตั้งใจมาก เราอยากทำให้ทุกคนรู้สึกว่าการอ่านเป็นเรื่องสนุก การอ่านเป็นเรื่องในชีวิตประจำวัน แล้วเราก็สามารถอ่านทุกอย่างได้จริง ๆ

          2. คอร์สสรุปเนื้อหา เรามี 1 คอร์ส คือ Intensive สิ่งที่สอนไปในคอร์สเนื้อหาทั้งหมด 3 คอร์สนั้น เอามาสรุปให้จบภายในคอร์สเดียว เพราะฉะนั้นคอร์สนี้มันเหมาะสำหรับใครก็ตามที่กำลังเตรียมตัวไปสอบ น้องจะได้เรียนทุกอย่างแบบกระชับ

          3. คอร์สตะลุยโจทย์ จะพูดถึงลักษณะโจทย์ภาษาอังกฤษทั้งหมดที่เจอในข้อสอบไม่ว่าจะเป็น GAT, O-NET หรือ 9 วิชาสามัญ ซึ่งคอร์สตะลุยโจทย์ตรงนี้สำคัญ เพราะมันจะแตกต่างจากคอร์สที่เป็นคอร์สเนื้อหามาก ข้อสอบภาษาอังกฤษมันไม่ได้ถาม grammar ถาม tense ตรง ๆ แต่มันจะเอาความรู้ที่เราได้จากคอร์สเนื้อหาไปประยุกต์ใช้ ไปอยู่ใน dialogue อยู่ใน conversation อยู่ใน reading หรืออยู่ใน cloze test เราควรจัดการกับข้อสอบพวกนั้นอย่างไร อันนี้เราก็จะเจอกันในคอร์สตะลุยโจทย์ค่ะ

     เราจัดคอร์สออกมาเพื่อให้ตอบโจทย์ทุก ๆ แบบ ทั้งคนที่อยากจะเรียนเพื่อเข้าใจและนำไปใช้ต่อยอด ทั้งคนที่อยากจะเรียนเพื่อเตรียมตัวเอาไปสอบ แต่ทั้งหมดทั้งมวลแล้วมันอยู่บนพื้นฐานความคิดที่ว่า เราไม่อยากให้ภาษาอังกฤษมันจบแค่ในข้อสอบ เพราะฉะนั้นทุกครั้งที่เราสอนหรืออะไรก็ตามเราก็จะย้ำอยู่เสมอ ว่าเอามันไปใช้ต่อในโลกแห่งความเป็นจริงด้วย”

 

หากน้อง ๆ คนไหนสนใจเรียนวิชาภาษาอังกฤษกับพี่แอน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดคอร์สเรียนเพิ่มเติมได้ที่ คอร์สเรียนภาษาอังกฤษ

ให้คะแนนบทความนี้